ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020/21 ลงเตะกันไปแล้วครึ่งฤดูกาล ถึงกระนั้นการแข่งขันฟุตบอลในยุคโควิด-19 แบบนี้กลับมีอะไรหลายอย่างที่เราไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการไม่มีแฟนบอลเข้าสนาม จนส่งผลต่อความได้เปรียบของเจ้าบ้านที่ไม่มีกองเชียร์คอยกดดัน กระทั่งผลการแข่งขันเกิดการพลิกล็อกขึ้นบ่อยๆ จนตำแหน่งจ่าฝูงถูกสลับสับเปลี่ยนเสมือนเก้าอี้ดนตรี
ซึ่งการสลับสับเปลี่ยนหน้าตาของทีมจ่าฝูงตลอด 19 นัดที่ผ่านมา ทำให้ในวันนี้เราจะมาย้อนรอย 5 ทีม ที่เคยขึ้นบัลลังก์จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ว่าจะมีใครหน้าไหนบ้าง แล้วทีมเหล่านั้นจะเป็นทีมที่คุณเชียร์อยู่หรือไม่ ไปดูกันได้เลยด้านล่างนี้
คุณอาจติดตามพรีเมียร์ลีกและสนใจเกี่ยวกับผลการแข่งขันล่าสุด โดยสามารถดูได้ที่นี่ baan.football
1. เอฟเวอร์ตัน
เริ่มกันที่ ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน ทีมดังจากย่านเมอร์ซี่ไซด์ ที่ตั้งแต่หลังยุค 80 ก็เป็นเพียงทีมระดับกลางตารางในลีกสูงสุด ที่เอาตัวรอดไปวันๆ โดยไม่มีลุ้นอะไร พร้อมกับเป็นลูกไล่ของทีมคู่อริอย่างลิเวอร์พูล มาตลอด 30 ปีหลัง
- สาเหตุหลักที่เอฟเวอร์โตเนียน กลายเป็นไม้ประดับของลีกสูงสุด คือเรื่องของฐานะการเงินที่มีไม่มาก จวบจนฟาฮัด โมชิริ เข้ามาเป็นเจ้าของ ก็ได้พยายามปรับเปลี่ยนทีมอย่างรอบด้าน รวมถึงตำแหน่งผู้จัดการทีม ที่ไปดึงมาร์โก ซิลวา เข้ามา แต่สุดท้ายผลงานก็ไม่ดีขึ้น
- มหาศาลเศรษฐีจากอิหร่าน ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะพาสโมสรกลับมายิ่งใหญ่ จึงไปเลือกอันเชลล็อตติ ที่เป็นระดับโคตรกุนซือผู้การันตีแชมป์ เข้ามาสู่ทีมกลางฤดูกาล 2019/20
- ฤดูกาล 2020/21 จึงเป็นปีที่กุนซือชาวอิตาลีได้ทำงานเป็นตัว พร้อมกับดึงนักเตะคู่อย่าง ฮาเมส โรดริเกวซ เข้ามา
- เอฟเวอร์ตัน เปิดตัวฤดูกาลนี้ในช่วง 4 นัดแรก ด้วยการเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด พร้อมคว้า 12 คะแนนเต็ม ขึ้นนำจ่าฝูงแต่เพียงผู้เดียวแบบสุดเซอร์ไพรส์ เพราะก่อนเปิดซีซั่นขอเพียงแค่ติดท็อปโฟร์ก็บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่ในเมื่อทีมติดลมบนแล้ว ก็ย่อมมีหวังเล็กๆ ในการจะยืนระยะ เพื่อไปคว้าแชมป์ในบั้นปลาย
- แต่แล้วหลังจากเกมที่ 5 ซึ่งเสมอลิวเวอร์พูล 2-2 พร้อมกับตัวหลักอย่างฮาเมสที่บาดเจ็บ เอฟเวอร์ตันกลับแพ้ถึง 5 นัดรวด ทำให้อันดับรูดลงไปถึงกลางตาราง พร้อมกับดับฝันค้างฟ้าไว้เพียงแค่นัดที่ 4
2. เชลซี
ทีมมหาเศรษฐีจากลอนดอน ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องการทุ่มเงินซื้อดังเตะ ทำให้หลังจากพ้นโทษแบนของยูฟ่า จึงเทเงินให้กับแฟรงค์ แลมพาร์ด ไปซื้อนักเตะใหม่ เพื่อการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
- ตำนานของทีมอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ด ประเดิมคุมทีมเมื่อฤดูกาลก่อนและจบลงด้วยอันดับที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ดีมาก เพราะไม่ได้ซื้อนักเตะระดับสตาร์เข้ามาเลยสักคนเดียว
- ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา สิงห์บูลใช้เงินมากถึง 200 ล้านปอนด์ กับการซื้อนักเตะตั้งแต่ผู้รักษาประตู ยันกองหน้า จำนวน 6 คน ซึ่งแต่ละชื่อล้วนแต่เป็นเกรดพรีเมี่ยมทั้งสิ้น ทำให้ถูกคาดการณ์ว่าคือทีมเต็งลุ้นแชมป์
- ช่วงต้นฤดูกาล ทีมยังมีปัญหาในเรื่องการปรับจูน แต่ยังได้ผลการแข่งขันที่ดี จึงยังเกาะกลุ่มผู้นำไว้ได้ กระทั่งหลังจบเกมที่ชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-1 ได้ขึ้นเป็นจ่าฝูงเป็นครั้งแรก จนคาดว่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีในนัดต่อๆ ไป
- แต่ถึงกระนั้น นักเตะเก่ากับใหม่ก็ยังจูนกันไม่ลงตัวเสียที แถมนักที่ซื้อเข้ามาดันฟอร์มตกอีก ทำให้ผลงานของทีมไม่คงเส้นคงวา จนส่งผลงานต่ออันดับที่รูดลงไปถึงกลางตาราง
3. สเปอร์ส
“ที่ไหนมีมูรินโญ่ ที่นั่นจะมีแชมป์” เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ในเส้นทางอาชีพโค้ชของชายผู้นี้ ซึ่งตรงกับความต้องการของทีมดังจากทางตอนเหนือของลอนดอน ที่ต้องการคว้าแชมป์สักรายการ เพราะสโมสรแห่งนี้ร้างแชมป์มานานกว่า 12 ปีแล้ว
- ช่วงซัมเมอร์ ทัพไก่เดือยทองมีซื้อตัวผู้เล่นใหม่ แต่ไม่ได้เป็นที่ฮือฮามากนักเท่ากับการกลับมาตายรังเก่าของ กาเร็ธ เบล
- ลูกทีมของมูรินโญ่ ออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยความพ่ายแพ้แก่เอฟเวอร์ตัน จึงยิ่งทำให้สายตาผู้ชมไม่ได้ชายตาไปมองว่าทีมนี้จะเป็นเต็งลุ้นแชมป์
- แต่หลังจากนั้น สเปอร์สมีอาการเหมือน 10 ล้อเบรกแตกและเมายาบ้า เพราะพุ่งชนทุกทีมที่ขวางหน้าไม่ว่าทีมนั้นจะเล็กหรือใหญ่ จนอันดับค่อยๆ ก้าวขึ้นมาจนรั้งจ่าฝูง พร้อมกับเสียงร่ำลือถึงความอันตรายของคู่หูแดนหน้าอย่าง แฮร์รี่ เคน และ ซน เฮือง-มิน
- กระทั่งเกมกับลิเวอร์พูล ที่เสมือนการชิงตำแหน่งจ่าฝูง สเปอร์ส ออกมาจากแอนฟิลด์ด้วยความพ่ายแพ้ จึงทำให้เสียบัลลังก์จ่าฝูงไป แล้วหลังจากนั้นมีอาการสะดุดต่อเนื่อง จนอันดับรูดลงไปกลางตารางอีกทีม
4. ลิเวอร์พูล
แชมป์เก่าเมื่อฤดูกาลก่อน เป็นอีกทีมที่ถูกจับตามองว่าจะเป็นเต็งแชมป์อีกครั้งในปีนี้ แถมยังได้นักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีมอีก จึงยิ่งทำให้เดอะค็อปทั่วโลกต่างวาดฝันว่าฤดูกาลนี้จะเป็นอีกปีที่ทีมรักจะกวาดแชมป์อย่างเป็นกอบเป็นกำ
- หงส์แดงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของทีม แม้จะต้องลุ้นเหนื่อยบ้าง กระทั่งความพ่ายแพ้แก่แอสตัน วิลล่า 7-2 จึงเริ่มทำให้ทีมต้องหันลับมาทบทวนตัวเอง
- การแข่งขันผ่านไปเพียง 5 นัด การบาดเจ็บจนต้องปิดเทอมยาวของ เฟอร์จิล ฟานไดค์ ทำให้ทีมต้องปรับตำแหน่งขนานใหญ่ แต่แล้วการบาดเจ็บของ โจ โกเมช และมาติป ทำให้ทีมมีปัญหามากขึ้นไปอีก จนต้องถอยฟาบินโญ่และแฮนเดอร์สันมาประจำการแนวรับ พร้อมกับดันตัวดาวรุ่งขึ้นมา
- ปัญหาในเรื่องของเทคโนโลยี VAR นับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ทีมแต้มหล่น จนมีการจัดลำดับและพบว่าลิเวอร์พูล คือทีมที่เสียประโยชน์มากที่สุด เช่น ในเกมกับเอฟเวอร์ตัน และไบรท์ตัน
- การยิงประตูใครไม่ได้ 3 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ทำให้ตอนนี้เสียบัลลังก์จ่าฝูงไปให้กับอริอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อย
5. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (แมนยู)
ปีศาจแดง คือทีมที่ออกสตาร์ทซีซั่นนี้ช้าที่สุด เพราะไปแข่งขันยูฟ่า ยูโรป้าลีก มาเมื่อฤดูกาลก่อน โดยในช่วงซัมเมอร์มีการเสริมทัพตัวผู้เล่นที่มีชื่ออยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นระดับดาวดัง เว้นเสียแต่ก่อนตลาดปิดที่ไปคว้า เอดินสัน คาวานี่ มาแบบไร้ค่าตัว
- แมนยู เปิดหัวด้วยความพ่ายแพ้ในบ้าน แถมการเล่นในบ้าน 4 นัดแรก ไม่ชนะใครเลย โดยแบ่งเป็น แพ้ 3 เสมอ 1 อีกทั้งในความพ่ายแพ้เหล่านั้น ยังเป็นการพ่ายสเปอร์สด้วยสกอร์มโหฬารถึง 1-6 ทำให้กระแส “Ole out” กลับมารุนแรงอีกครั้ง แถมยังถูกเต็มเชื้อไฟให้แรงขึ้นไปอีกกับการตกรอบยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ทั้งที่เป็นจ่าฝูงมาตลอด 5 นัด
- สถานการณ์ของแมนยูก่อนเกมกับ เอฟเวอร์ตัน จึงอยู่ในโซนท้ายตาราง พร้อมกับผลงานที่ย่ำแย่ ทำให้การเล่นที่กูดิสันพาร์คเป็นนัดชี้ชะตาของโซลชา เพราะถ้าแพ้อีกก็โอกาสสูงที่จะโดนปลดจาตำแหน่ง แต่สุดท้ายพลพรรคปีศาจแดงกลับออกมาด้วย 3 แต้ม พร้อมกับต่อลมหายใจแก่กุนเซือชาวนอร์เวย์ต่อไป
- หลังจากนั้นแมนยูเดินหน้าเก็บ 3 แต้มมาเรื่อยๆ จนอันดับขยับขึ้นมา กระทั่งชัยชนะนัดตกค้างเหนือเบิร์นลี่ย์ ทำให้ทีมขึ้นนำ เป็นจ่าฝูงครั้งแรกในรอบ 8 ปี ตั้งแต่เฟอร์กี้วางมือไป
การแข่งขันที่ผ่านมา 19 นัด บัลลังก์จ่าฝูงถูกส่งต่อเป็นทอดๆ เสมือนเก้าอี้ดนตรี จนถึงปัจจุบันที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังนั่งอยู่ แต่ถึงอย่างไรเสียเชื่อว่านับจากนี้กับอีกครึ่งทางที่เหลือ จะต้องมีทีมหน้าใหม่ หรือทีมหน้าเดิม กลับมานั่งที่บัลลังก์นี้อีกครั้ง เพราะการแข่งขันฟุตบอลยุคโควิด-19 ฐานะของเจ้าบ้าน หรือทีมเยือนไม่ค่อยมีความหมายและความได้เปรียบอะไร การแข่งขันจึงสามารถเกิดการพลิกล็อกขึ้นได้เสมอ ซึ่งนับจากนี้น่าติดตามเหลือเกินว่าบั้นปลายแล้วใครกันจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง