การแข่งขันฟุตบอลยุคโควิด-19 นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนวิถีการดูฟุตบอลของพวกเราไปมากสมควร ที่ปกติต้องรอช่วงสุดสัปดาห์ แต่ตอนนี้มีเตะทุกๆ 3 วัน จนต้องมีอาการเบื่อหน่ายกันไปข้าง แต่มันคงเทียบไม่ได้กับตัวนักเตะที่ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเองก็ได้รับผลกระทบจากโปรแกรมที่เตะถี่ขนาดนี้
ฉะนั้นแล้วในวันนี้ เราจะย้อนรอยถึง 5 ปัญหา ที่ลิเวอร์พูล ประสบมาในช่วงเลกแรก ฤดูกาล 2020/21 ว่ามันมีอะไรกันบ้าง และปัญหาในแต่ละอย่างส่งผลอย่างไรต่อทีม หรือทำให้คล็อปป์ต้องแก้ไขสถานการณ์ไปในทางไหน
1. อลีสซง เบ็คเกอร์ เจ็บ
เปิดฤดูกาลไปได้ไม่กี่นัด อลิสซง เบคเกอร์ หรือที่สาวกเดอะค็อปเรียว่า “พ่อหมี” ก็ดันเกิดอาการบาดเจ็บขึ้นมา ซึ่งนับเป็นข่าวที่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะหากหันไปมองที่ม้านั่งสำรองซึ่งมี อาเดรียน อยู่ ก็ไม่น่าไว้วางใจ
- อลิสซง บาดเจ็บจากการฝึกซ้อมก่อนเกมที่จะออกไปเยือน แอสตัน วิลล่า ทำให้ต้องส่งอาเดรียน ลงสนาม และตอบแทนด้วยการแสดงความผิดพลาดทันที ก่อนจบ 90 นาที ด้วยความพ่ายแพ้ 7-2 อีกทั้งในเกม UCL กับอาแจ็กซ์ ก็แสดงความผิดพลาด แต่ยังดีที่ฟาบินโญ่วิ่งไปล้วงบอลออกมาจากเส้นได้ทันเวลา ซึ่งหากนำมาประมวลทั้งหมด นายด่านมือรองชาวสเปนนั่นมีปัญหาในเรื่องความเชื่องช้าและการเล่นบอลด้วยเท้าที่ไม่ดี
- ความผิดพลาดมากมายนับไม่ถ้วนของอาเดรียน ทำให้คล็อปป์ ส่งนายทวารดาวรุ่งชาวไอร์แลนด์อย่าง ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงสนามในเกม UCL ก่อนจะโชว์ฟอร์มได้ดีจนได้โอกาสต่อเนื่องในเกมลีกกับวูล์ฟแฮมป์ตัน จนใครต่อใครคงเห็นแล้วว่านี้ล่ะคือมือ 2 ของทีมที่น่าไว้ใจ พร้อมถีบอาเดรียนให้ตกลงไปเป็นมือ 3
2. ฟานไดค์ เจ็บ
เฟอร์จิล ฟานไดค์ คือปราการหลังตัวหลักของทีมในช่วง 2 ปีหลัง ที่ลงครบทุกวินาทีที่มีเกมการแข่งขัน จนทำให้ลิเวอร์พูลเสียประตูยากและสถาปนาตัวเองเป็นทีมใหญ่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
- ในเกมเมอร์ซี่ไซค์ดาร์บี้แมตช์ เอฟเวอร์ตัน พบกับ ลิเวอร์พูล ที่กูดิสันพาร์ค จากจังหวะที่ฟานไดค์ เต็มเกมขึ้นไปโหม่งบอลจากลูกฟรีคลิก แต่จอร์แดน พิกฟอร์ด ดันเอาขาทั้ง 2 ข้างมาหนีบแข้งของปราการหลังชาวดัตช์ ซึ่งในทันทีที่เกิดเหตุการณ์ทุกคนต่างรู้ว่าเป็นอาการบาดเจ็บหนักแน่ๆ เพราะจากสีหน้าของเจ้าตัวไม่ดีเลย ก่อนที่หลังเกมจะมีการประเมินอาการบาดเจ็บครั้งนี้ว่าต้องพักนานจนจบฤดูกาล
- การขาดหายไปของปราการหลังที่เป็นดั่งหัวใจของทีม ทำให้ต้องมีการจับคู่ตำแหน่งกองหลังกันใหม่ โดยมี โจ โกเมช กับ โจเอล มาติป เป็นตัวเลือกแรก พร้อมกับถอยฟาบินโญ่ ที่เป็นกลางรับลงมาเป็นอะไหล่เสริมอีกคน
- รูปแบบการเล่นในช่วงแรกที่ไม่มีฟานไดค์ มีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือเน้นการเพรสซิ่งให้น้อยลงและไม่ดันตัวผู้เล่นขึ้นสูงมากจนเกินไป เพราะปราการหลังที่มีไม่สามารถเก็บกวาดเกมสวนกลับของคู่แข่งได้ดีเทียบเท่า กระทั่งปัญหาในแนวรับเริ่มเข้าที่และถูกพูดถึงน้อยลง เพราะผลงานของทีมที่ติดลมบนจนขึ้นรั้งจ่าฝูง
3. กองหลังตัวจริง บาดเจ็บถ้วนหน้า
การขาดหายไปของฟานไดค์ ใครๆ ก็ต่างคิดว่าโชคร้ายมาพอแล้ว แต่วิบากกรรมของลิเวอร์พูลยังไม่หมดเท่านั้น เพราะปราการหลังตัวจริงพร้อมหน้ากันเจ็บไปหมดทุกผู้ทุกราย จนต้องไปดึงตัวเยาวชนขึ้นมาเล่น
- ปัญหาในเรื่องของกองหลังถูกพูดถึงน้อยลง เพราะผลงานของทีมดีขึ้น แต่แล้วปราการหลังกระดูกยุงของ โจเอล มาติป ทำให้เจ้าตัวต้องเข้าโรงหมอไปจีบกายภาพทีมครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับสาวกเดอะค็อป ที่ติดตามทีมมานาน จนต้องปรับตำราคู่การใช้งานเจ้าตัวว่าควรเล่นนัดเว้นนัด หรืออย่าให้ลงเล่นเกิน 3 นัดติดต่อกันอย่างเด็ดขาด
- โปรแกรมฟีฟ่าเดย์เดือนพฤศจิกายน โจ โกเมช ไปรับใช้ทีมชาติอังกฤษ แต่ระหว่างฝึกซ้อมดันเกิดอาการบาดเจ็บ จนต้องปิดเทอมยาวถึงสิ้นฤดูกาลนี้ ซึ่งกลายเป็นข่าวร้ายทันที เพราะปราการหลังตัวจริงของทีมไม่มีเหลือให้ใช้งานแล้ว
- ฟาบินโญ่ ที่ถูกถอยลงมาเล่นตำแหน่งกองหลัง ก็เคยมีช่วงหนึ่งที่เกิดอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อขา ซึ่งสร้างความปวดหัวให้กับคล็อปป์เป็อย่างยิ่ง จนต้องส่งกองหลังดาวรุ่งลงสนามระหว่าง แนท ฟิลลิปส์ หรือ รีส วิลเลี่ยมส์ เพื่อมาจับคู่กับ เฮนเดอร์สัน ที่ต้องถอยตัวเองจากตำแหน่งกองกลางมาเล่นกองหลัง
4. กองกลางยวบ จนบอลไม่ถึงหน้า
กองหลังดาวรุ่งทำผลงานได้ดีพอใช้ แต่มันไม่เพียงพอที่จะช่วยให้แนวรับเกิดความสมดุล จนทำให้หลายนัดต้องถอยเฮนเดอร์สันลงไปเล่นกองหลัง แดนกลางจึงกลายเป็นปัญหาทันที เพราะไม่สามารถพาบอลไปถึงแดนหน้าได้
- แนท ฟิลลิปส์ คือปราการหลังสไตล์โบราณ ที่จุดเด่นในการสกัดบอลแบบไม่มีที่ติ แต่ปัญหาสำคัญของเจ้าตัว คือการออกบอลจากแดนหลังที่ไม่สามารถทำได้เหมือนกับฟานไดค์ กระทั่งกลายเป็นจุดอ่อนและเป็นภาระของแบ็คทั้ง 2 ข้าง จนส่งผลต่อมิติการขึ้นเกมรุกของทีมที่ขาดหายไป ส่วนรีส วิลเลี่ยมส์ คือ ปราการหลังที่ดูดีมีอนาคต จนถูกขนานนามว่าเป็น “เบบี้ฟานไดค์” แต่ด้วยความที่ยังเป็นตัวเยาวชนและกระดูกยังไม่ถึง จุดอ่อนที่เขามีจึงเริ่มฉายออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะสปีดต้นและการวิ่งไล่กวดที่เชื่องช้า ทำให้เมื่อไรที่คู่ต่อสู้แทงบอลทะลุช่อง เจ้าหนูรีสจะวิ่งตามไม่ทันและกลายเป็นกองหน้าหลุดเดี่ยวเข้าไปจ๊ะเอ๋กับผู้รักษาประตูแบบง่ายๆ
- การถอยเฮนเดอร์สันลงมา จึงเป็นสิ่งที่คล็อปป์ต้องการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ เพราะกัปตันเฮนโด้สกัดบอลดี แถมมีจังหวะขึ้นเกมสวยๆ แต่ปัญหาที่ตามมาติดๆ คือกองกลางของทีมยวบลงไป เพราะไม่มีเชื่อมบอลไปถึงข้างหน้า
- การสลัดอาการบาดเจ็บของ ติอาโก้ อาคันทาร่า ทำให้แดนกลางของทีมดูดีขึ้น ซึ่งถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าปัญหาต่างๆ น่าจะจบลงเสียที
5. กองหน้าฝืดสนิท จนตาข่ายไม่สั่นมา 3 นัดติด
มาเน่ เฟอร์มิโน่ และซาลาห์ หรือรหัสย่อว่า SMF นี่คือ 3 ประสานที่โหดเหี้ยมที่สุดของโลกมนุษย์ใน พ.ศ. นี้ ที่กองหลังหรือแนวรับทีมไหนๆ ก็ต่างขาสั่น พร้อมกับร้องขอชีวิตยามถูกถล่มประตูย่อยยับ แต่ในฤดูกาลนี้มีบางช่วงที่เริ่มฝืดๆ จนกระทั่งในเดือนมกราคมนี้ที่ฝืดหนักจนยิงใครไม่ได้มา 3 เกมติด เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี
- นี่เป็นฤดูกาลที่ 4 แล้ว กับการที่ 3 ประสานนี้ลงเล่นร่วมกัน แต่คล็อปป์เองก็ได้มองการณ์ไกลด้วยการไปคว้า ดิโอโก้ โชต้า มาจากวูล์ฟแฮมป์ตัน เพื่อเป็นตัวกดดัน 3 ประสานเมื่อใดที่ฟอร์มฝืด หรือยิงประตูไม่ได้ เพราะหากคิดถึงการส่งโอรีกี้ ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด
- โชต้า นับเป็นอะไหล่ชั้นดี จนเทียบสถานะตัวจริงได้อย่างรวดเร็ว โดนเฉพาะกับเฟอร์มิโน่ ที่ฤดูกาลนี้ฟอร์มดูตกลงไป แต่ความโชคร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนกับลิเวอร์พูลในครั้งนี้ คือการบาดเจ็บของโชต้า ที่คาดว่าจะกลับมาในเดือนกุมภาพันธ์ ฉะนั้นเกมในช่วงเดือนมกราคม หาก 3 ประสานฟอร์มฝืดก็ไม่มีตัวเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อลงไป ผลงานที่ปรากฏจึงเป็นอย่างที่เห็น
ฤดูกาลนี้นับว่าเป็นปีที่สาหัสกับ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง เพราะเจอกับปัญหาตัวผู้เล่นบาดเจ็บอยู่ตลอด ทำให้มีผลต่อการจัดทีมลงสนาม ซึ่งนี่ยังไม่รวมถึงปัญหา VAR และกรรมการอีกมากมาย ที่กลายมาเป็นปัจจัยให้ทีมแต้มหล่น ฉะนั้นเห็นทีว่าต้องทำใจล่วงหน้าไว้ว่าปีอาจไม่ใช่ปีของพวกเรา